วันพุธที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ความปลาบปลื้มของพระอาจารย์ ( ประการที่ ๒ )



ความปลาบปลื้มของพระอาจารย์ ( ประการที่ ๒ )

ได้โปรดโยมแม่ให้ได้ทำบุญใหญ่ ถวายที่ดินทำการสร้างวัด โยมแม่ของข้าพเจ้าก็เหมือนชาวบ้านทั่วๆไป เป็นเกษตรกร ถึงแม้จะใจบุญแต่ก็ยังหาจับสัตว์เล็กๆเช่น กบ เขียด แมลงต่างๆมาทำเป็นอาหาร และนานๆจะได้ไปฟังธรรมที่วัดสักครั้ง ซึ่งข้าพเจ้ามีความเห็นว่า ท่านมีอายุมากแล้วน่าจะงดเว้นการออกหาจับสัตว์ต่างๆ แม้ว่าจะเป็นอาหาร แต่ก็เป็นการเบียดเบียนซึ่งเป็นการทำบาป และควรจะหาโอกาสเข้าวัดฟังธรรมให้มากขึ้น ควรจะเป็นการดี
  แต่การเป็นแม่เป็นลูกกัน ครั้งจะพูดจาแบบสอนกันตรงๆก็ไม่ค่อยจะสะดวก ทำให้ข้าพเจ้าอึดอัดอยู่นาน
 โยมแม่ของข้าพเจ้า ท่านเป็นคนขยันขันแข็ง ทำไร่ไถนามาตลอดชีวิต ซึ่งทำให้ท่านพอจะมีทรัพย์อยู่จำนวนไม่น้อย และท่านเองก็เคยออกปากแบ่งปันให้ลูกทุกๆคนเอาไว้ และที่หมู่บ้านพราน ตำบลแจนแวน อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ไม่มีวัดประจำหมู่บ้าน มีเพียงที่พักสงฆ์เล็กๆ ที่สร้างอยู่ในเขตป่าช้าของหมู่บ้าน อีกทั้งที่ดินก็คับแคบ ไม่สะดวกต่อการปฏิบัติศาสนกิจ และขยับขยายไม่ได้ ทำให้พระสงฆ์ที่จำพรรษาอยู่ในแต่ละปีมีน้อย ไม่ค่อยมีชีวิตชีวา และนี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ญาติโยมไม่ค่อยจะทำบุญกัน ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปเยี่ยมโยมแม่ และพักอยู่ที่พักสงฆ์แห่งนี้ ข้าพเจ้าจะนึกถึงเรื่องเหล่านี้เสมอ เนื่องจากที่ดินโยมแม่มีเขตติดต่อกับที่ดินของที่พักสงฆ์บ้านพรานแห่งนั้น ทำให้ข้าพเจ้าคิดขึ้นมา
 เนื่องจาก การที่ท่านเคยออกปากยกทรัพย์สมบัติให้บรรดาลูกๆทุกคนไว้แล้ว วันหนึ่งข้าพเจ้าจึงออกปากขอทรัพย์สมบัติในส่วนที่ควรจะเป็นของข้าพเจ้าจากท่าน คงจะเป็นเพราะท่านคิดว่าข้าพเจ้าจะลาสิกขาออกไปประกอบอาชีพ ท่านจึงยกที่ดินส่วนของข้าพเจ้าจำนวน ๖ไร่ให้ เมื่อได้รับฉันทานุมัติแล้ว ข้าพเจ้าใด้บอกบุญมหาชนทำการสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ขึ้นกลางทุ่งนาแห่งนั้น และเมื่อสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่เสร็จแล้ว ข้าพเจ้าได้ขอให้โยมแม่ยกที่ดิน ที่จะให้แก่ข้าพเจ้าถวายไว้ในบวรพุทธศาสนา และท่านก็ยินดี ในขณะเดียวกัน น้องชายของข้าพเจ้า ซึ่งบวชเป็นพระภิกษุ และเป็นเจ้าสำนักของที่พักสงฆ์บ้านพรานแห่งนั้นก็เห็นดีด้วย ท่านจึงขอให้โยมแม่ยกที่ดินในส่วนของท่านสมทบกัน แล้วถวายที่ดินส่วนนั้น ให้เป็นผืนดินของพระพุทธศาสนา
 และวันหนึ่งหลังจากนั้น ครั้งเมื่อข้าพเจ้านั่งทำสมาธิอยู่ใกล้ๆองค์พระใหญ่ตอนใกล้รุ่ง ข้าพเจ้าได้ยินเสียงคนกวาดใบไม้อยู่ใกล้ๆ เมื่อลืมตาขึ้นก็มองเห็นโยมแม่ของข้าพเจ้าทำกิจนั้นอยู่ ทำให้ข้าพเจ้าแน่ใจแล้วว่า บัดนี้โยมแม่ของข้าพเจ้าเข้าถึงพระศาสนาแล้ว เวลานั้นทำให้ข้าพเจ้า " ปลื้ม" ใจ ทำให้น้ำตาแห่งความปิติไหลออกมาโดยมิรู้ตัว
 จากที่พักสงฆ์เล็กๆแห่งนั้น บัดนี้ได้กว้างขวางสะดวก คึกคัก มีชีวิตชีวา ญาติโยม ศาสนิกชนจำนวนมากมายหลั่งไหลกันมาทำบุญ ไหว้พระ ฟังธรรม ซึ่งทั้งหมดนี้คือ " ความปลื้ม" อย่างที่ ๒ ของข้าพเจ้า

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น